กำแพงเมืองจีน มรดกโลกที่แลกมากับชีวิตผู้คนนับล้าน

กำแพงเมืองจีน มรดกโลกที่แลกมากับชีวิตผู้คนนับล้าน

“กำแพงเมืองจีน” เป็นสถาปัตยกรรม มรดกโลกที่ยิ่งใหญ่ และมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลาย 1,000 ปี ความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองจีนนั้น ถึงขั้นที่ว่าหากใช้กล้องดาวเทียมส่องลงมายังพื้นโลกจะมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้ แน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างแสนสวยงามในยุคไร้เทคโนโลยีความเจริญก้าวหน้า ย่อมต้องแลกมากับการสูญเสียกำลังพล หยาดเหงื่อ ชีวิตของมนุษย์มากมาย สำหรับชาวจีนแล้ว กำแพงเมืองจีนจึงไม่ใช่แค่มรดกโลก แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงการกดขี่เพื่อนมนุษย์ เรื่องราวสุดสยองของกำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว โดยแรกเริ่มเดิมที กำแพงเมืองจีนเป็นเพียงกำแพงที่แต่ละเมืองสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้เมืองอื่นเข้ารุกราน เมื่อเวลาผ่านไปจีนรวบรวมแผ่นดินใหญ่  ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยจึงได้ทำการเชื่อมกำแพงเมืองจีนเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นกำแพงที่ขึ้นชื่อว่ายาวที่สุดในโลก ว่ากันว่าการเชื่อมกำแพงเมืองจีนครั้งแรกเกิดขึ้นในราชวงศ์ฉิ๋น ฮ่องเต้เชื่อมกำแพงเพื่อป้องกันชนเผ่าทาทาหรือชาวมองโก และหลังจากนั้นมาทุกราชวงศ์ก็มีการต่อเติมกำแพงเมืองจีนให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงราชวงศ์สุดท้ายที่ทำการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนอย่างราชวงศ์หมิง สมัยราชวงศ์หมิง “จิ๋นซีฮ่องเต้” ได้สั่งเผาวรรณกรรมทุกอย่างเพราะไม่อยากให้ใครได้รู้ว่าประวัติศาสตร์ของจีนเริ่มต้นมานานแล้ว พระองค์ต้องการให้ประวัติศาสตร์ของจีนถูกบันทึกโดยเริ่มต้นจากราชวงศ์ของพระองค์เป็นราชวงศ์แรก สมัยนั้นจึงมีนักปราชญ์และผู้ที่ครอบครองตำรามากมายถูกสั่งประหารไปกว่า 460 คน บ้างก็นำไปเป็นแรงงานสร้างกำแพงเมืองจีน หากแรงงานแอบหลับหรืออู้งานก็จะถูกโยนไปฝังในร่องกำแพงทั้งเป็นอย่างไร้ความปราณี  เนื่องจากกำแพงเมืองจีนเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่จึงต้องใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าในสมัยนั้นมีการเกณฑ์คนมาทำกำแพงเมืองจีนกว่า 4,000,000 คน ทั้งนักโทษและทาสต่างล้มตายเพราะถูกใช้งานจนหนัก บ้างก็ถูกผลักตกกำแพงเมืองจีนไปฝังทั้งเป็น จนมีคำกล่าวว่า หากถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีนแล้วยากที่จะรอดกลับมา ไปสิบคนจะมีคนเหลือรอดเพียงแค่คนเดียว ในสมัยราชวงศ์ฮั่นเริ่มมีคนต่อต้านการสร้างกำแพงเมืองจีน เพราะเริ่มรับรู้ได้ถึงการกดขี่ที่ไม่เป็นธรรม จนถึงขั้นแต่งเพลงแต่งวรรณกรรมต่างๆมาด่ากำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว หากรวมระยะเวลาตั้งแต่สร้างและซ่อมแซมแล้ว กำแพงเมืองจีนใช้เวลายาวนานกว่า 2,000 ปี ซึ่งใน 2,000 […]

เจาะลึกตำนาน โรงแรมพิศวง ณ แคลิฟอเนียร์ Hotel Cecil

เจาะลึกตำนาน โรงแรมพิศวง ณ แคลิฟอเนียร์ Hotel Cecil

     Hotel Cecil เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ที่แคลิฟอเนียร์ เมืองลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา และคุณเชื่อหรือไม่ว่าตลอดเวลาหลายปี โรมแรมแห่งนี้มักจะเกิดเรื่องพิศวงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคดีฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย และเรื่องประหลาดต่างๆโดยในวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับคดีต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงแรม Hotel Cecil  กัน เหตุการณ์ประหลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงแรม Hotel Cecil    Hotel Cecil โรงแรมชื่อดังเรื่องพิศวงต่างๆมากมายโดยคดีแรกที่เกิดขึ้นในโรงแรมแห่งนี้คือปี 1931  1931 แขกที่เข้าพักในโรงแรมได้ฆ่าตัวตายในห้องพัก 1934 แขกที่เข้าพักในโรงแรมได้ฆ่าตัวตายในห้องพัก 1937 แขกที่เข้าพักในโรงแรมได้ฆ่าตัวตายในห้องพัก  ประมาณปี 1938 ชายคนหนึ่งถูกรถบรรทุกพุ่งชนจนร่างถูกรถขยี้เข้ากับกำแพงของโรงแรม      Hotel Cecil อย่างน่าสยดสยอง 1940 แขกที่เข้าพักในโรงแรมได้ฆ่าตัวตายในห้องพัก 1944 ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้เข้าพักในโรงแรมและได้ลงมือสังหารลูกแท้ๆของตัวเองในวัยแรกเกิดภายในห้องพัก 1962 สองสามีภรรยาได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ โดยผู้เป็นภรรยาได้กระโดดออกจากหน้าต่างของห้องพักที่อยู่ชั้น9 ในขณะที่สามีของเธอกำลังหลับอยู่  ทำให้ร่างของเธอร่วงลงมากระแทกกับทางเข้าของโรงแรมเข้าอย่างจัง  1964 แขกรายหนึ่งของโรงแรมถูกฆาตกรปริศนาฆ่าอย่างไร้ความปราณี ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้ 1980 Richard Ramirez หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฆาตกรต่อเนื่อง Night stalker ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ 1990 Jack unterwege […]

เจาะลึกตำนาน วิญญาณร่างยักษ์ของสาวจอมหัวเราะ เคเระเคเระ อนนา  ( Kerekere Onna )

เจาะลึกตำนาน วิญญาณร่างยักษ์ของสาวจอมหัวเราะ เคเระเคเระ อนนา ( Kerekere Onna )

     เคเระเคเระ อนนา   เป็นตำนานของวิญญาณของสาววัยกลางคน คนหนึ่ง ที่ตอนยังมีชีวิตมักจะสร้างเสียงหัวเราะ และเล่นมุกตลกให้ทุกคนที่เดินผ่านเธอฟัง และใครก็ตามที่ได้ฟังมุกตลกของเธอ จะต้องหัวเราะตามทุกคน  แต่เมื่อวันหนึ่งเธอได้จากโลกนี้ไป ด้วยโรคร้าย วิญญาณของเธอได้กลับมาในฐานะวิญญาณ และกลับมาสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนเช่นเคย แต่กลับกันก็คือ การกลับมาเล่นมุกคราวนี้ …….ไม่มีใครหัวเราะได้ลงสักคน เรื่องเล่าของ หญิงสาววัยกลางคน เจ้าของมุกตลกและเสียงหัวเราะสยองขวัญ เคเระเคเระ อนนา ( Kerekere Onna )       ตำนานของ เคเระเคเระ อนนา   หรือสาวหัวเราะ ได้เล่าไว้ว่า       ในประเทศญี่ปุ่น ยุคสมัยเอโดะโบราณ มีหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่เป็นสาวหน้าตาสวยงาม ผมยาวดำสละสลวย ในทุกๆวัน เธอมักจะออกไปที่ใจกลางชุมชน และมักสร้างเสียงหัวเราะให้กับเหล่าผู้คนที่เดินผ่านย่านแห่งนั้นอยู่เป็นประจำทุกวัน โดยมักเล่นมุกตลกและหัวเราะ  อยู่บริเวณนั้นจนเป็นกิจวัตร และมุกตลกของเธอที่เล่นออกมา จะไม่ซ้ำกันเลยสักวัน และผู้คนในละแวกนั้น ก็มักจะชื่นชอบในมุกตลกของเธอและเปรียบเสมือนว่าเธอเป็นดั่งสีสันของย่านนั้น      แต่เมื่ออยู่มาวันหนึ่ง เธอก็ต้องรับมือกับโรคประจำตัวที่เธอเป็นอยู่ จนกระทั่งเธอก็ไม่สามารถรับมือกับโรคประจำตัวได้ และตายไปในที่สุด แต่แม้กระทั่งตอนที่เธอได้ตายลงไปนั้น เธอก็ยังคงตายด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ      อยู่มาวันหนึ่ง ได้มีชายคนหนึ่งเดินผ่านในละแวกที่เคยมี สาวหัวเราะออกมาสร้างสีสัน ในช่วงกลางดึก […]

เจาะลึกตำนาน ภูติจอมตัดตาข่ายลูกผสมยามราตรี อามิคิริ ( Amikiri )

เจาะลึกตำนาน ภูติจอมตัดตาข่ายลูกผสมยามราตรี อามิคิริ ( Amikiri )

     อามิคิริ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ภูติจอมตัดตาข่าย เป็นภูติลูกผสมระหว่าง กุ้งและงู โดยส่วนบนของมันจะมีลักษณะคล้ายกับกุ้ง และส่วนลำตัวและหางจะมีลักษณะยาวคล้ายงู โดย อามิคิริ ถือได้ว่าเป็นโยไคที่ชอบสร้างความวุ่นวายและความรำคาญให้กับเหล่าชาวบ้านอยู่ไม่น้อย ซึ่งวีรกรรมของ อามิคิริ ก็คือชอบตัดตาข่ายของเหล่า รวมถึงแหจับปลา รวมถึงเสื้อผ้าของชาวบ้าน จึงเป็นที่มาของชื่อ อามิคิริ จอมตัดตาข่าย วีรกรรมสุดแสบของ อามิคิริ ภูติจอมตัดตาข่าย      อามิคิริ เป็นภูติที่ชอบก่อวีรกรรมที่สร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้านมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การตัดตาข่ายที่ชาวบ้านจะผูกไว้สำหรับดักยุง ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ยุง ก็เป็นสิ่งอันตรายพอๆกับสัตว์ร้ายอื่นๆ และเพราะสมัยก่อนนั้น ยังไม่มียากันยุง หรือ ยากันยุงเหมือนสมัยนี้ ตาข่ายดักยุง จึงเป็นไอเท็มสำคัญที่จะปกป้องเลือดของมนุษย์                  จากเหล่ายุง แต่ก็มีเจ้า อามิคิริ นี่แหละที่คอยตัดตาข่ายจนขาดเป็นรู ทำให้ชาวบ้านเกลียดเจ้าโยไคตัวนี้เข้าไส้กันเลยทีเดียว      นอกจากเจ้า อามิคิริ จะชอบตัดตาข่ายดักยุงที่ชาวบ้านผูกไว้แล้ว มันยังสร้างความวุ่นวายแก่เหล่าบรรดาชาวประมงอีกด้วย เพราะมันเป็นภูติที่มีรูปร่างคล้ายกุ้ง มันจึงสามารถอยู่ในน้ำได้ และทุกครั้งที่มันเห็นชาวประมง ออกเรือไปหาปลา […]

เจาะลึกตำนาน ผีโคมไฟผู้นำทางยามราตรี โอคุริ โชชิน ( okuri chochin )

เจาะลึกตำนาน ผีโคมไฟผู้นำทางยามราตรี โอคุริ โชชิน ( okuri chochin )

     โอคุริ โชชิน หรือตำนานที่รู้จักกันในชื่อ ผีโคมไฟผู้นำทาง เป็นตำนานที่เป็น1ใน7เรื่องพิลึกของเอโดะ ฮอนโจ ในกรุงโตเกียว โดย โอคุริ โชชิน เป็นวิญญาณที่เชื่อว่าจะปรากฏตัวออกมาเพื่อคอยนำทางให้แก่ผู้ที่ต้องเดินทางในที่เปลี่ยวหรือที่ที่ไม่มีแสงสว่างในยามค่ำคืน โดยจะปรากฏตัวออกมาในลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์ถือโคมไฟ และจะอาสาพาเดินไปส่งจนถึงที่หมาย  เรื่องเล่าเกี่ยวกับการปรากฏตัวของผีโคมไฟผู้คอยนำทาง โอคุริ โชชิน      ในคืนหนึ่ง ได้มีซามูไรที่มาพร้อมกับผู้ติดตาม1คน ซึ่งกลับมาจากการสังสรรค์ที่โยชิวาระ อาคากูสะ โดยซามูไรและผู้ติดตามทั้ง2คนนี้ ได้เดินเตร็ดเตร่เมาไปทั่วถนน ซึ่งระหว่างทางกลับนั้นจะต้องผ่านวัดโฮองจิ ผู้ติดตามของซามูไรนายนี้ซึ่งเคยได้ยินเรื่องราวน่ากลัวของถนนเส้นนี้ก็เกิดอาการสั่นกลัวผสมกับเป็นคนที่มีความขี้ขลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงพยายามคัดค้านไม่ให้ผู้เป็นนายเดินผ่านเส้นทางนี้      แต่เนื่องจากอาการเมาและจิตวิญญาณของซามูไรจึงทำให้เขาไม่มีอาการกลัวแต่อย่างใด จึงได้เดินเท้าไปข้างหน้าต่อไปและได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ในมือถือโคมไฟอยู่ และที่แปลกก็คือเธอเดินอยู่เพียงลำพังในถนนสายเปลี่ยวยามกลางคืนแบบนี้      ซามูไรได้เดินเข้าไปไถ่ถามว่าเธอมาจากที่ไหนและจะไปที่ไหนต่อ และเมื่อบทสนทนาของทั้งคู่จบลงแล้ว หญิงสาวก็อาสาที่จะนำทางไปส่งซามูไรและผู้ติดตามเพราะเห็นว่าทั้งคู่นั้นไม่ได้พกโคมไฟมาในการเดินทาง จนกระทั่งได้เดินมาถึงที่หมายปลายทายของซามูไรและผู้ติดตาม ทั้งสองฝ่ายจึงกล่าวคำขอบคุณและคำอำลา ขอตัวกลับบ้าน แต่เมื่อซามูไรจะหันหลังกลับไปมองที่เธอเพื่อเป็นการส่งท้ายและแน่ใจว่าเธอได้กลับไปแล้วจริงๆก็กลับพบว่า ตลอดทางนั้นเต็มไปด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้กระแท้แสงไฟจากโคมไฟ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะพึ่งจะละสายตาจากเธอได้ไม่ถึงนาที      ผู้ติดตามจึงโพล่งปากขึ้นมาว่า นั่นอาจจะเป็นโอคุริ โชชินหรือผีโคมไฟผู้นำทาง โดยจะปรากฏตัวต่อผู้ที่ไม่มีโคมไฟ มันจะคอยนำทางให้จนถึงที่หมาย โดยจะไม่ทำอันตรายใดๆแก่มนุษย์แต่เป็นวิญญาณที่คอยช่วยเหลือมนุษย์เมื่อต้องเดินทางในถนนที่ไร้ซึ่งแสงไฟ  โอคุริ โชชิน  #โอคุริ โชชิน #เรื่องผี #เรื่องลี้ลับ 

เจาะลึกตำนาน ปีศาจสยองผู้จ้องเล่นงานคนตะกละ พิซาเดลา ( La Pisa Deira ) 

เจาะลึกตำนาน ปีศาจสยองผู้จ้องเล่นงานคนตะกละ พิซาเดลา ( La Pisa Deira ) 

     ตำนานที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นตำนานที่กล่าวขานมายาวนานในประเทศบราซิลหรืออาจจะรวมถึงประเทศอื่นๆด้วย โดยเป็นตำนานของวิญญาณลึกลับที่เรียกกันว่า พิซาเดลา โดยมันจะมีลักษณะเป็นเหมือนหญิงชราที่มีจมูกยาวเหมือนตะขอ ผิวซีด ผิวหนังเหี่ยวซุบผอม และที่สำคัญพิซาเดลา จะเลือกเฉพาะเหยื่อที่ชอบกินอาหารอย่างตะกละเท่านั้น ความเชื่อเกี่ยวกับการปรากฏตัวของปีศาจปริศนา พิซาเดลา      ตามตำนานเล่าว่า ผู้ใดที่กินอาหารมื้อค่ำอย่างตะกละตะกลาม กินจนอาหารแน่นเต็มท้องและเข้าไปนอนหลับในห้องโดยทันที คนนั้นก็จะถูกเล็งให้เป็นเหยื่อของ พิซาเดลา  เพราะมันเป็นปีศาจที่จะเลือกเล่นงานเฉพาะคนตะกละเท่านั้น โดยมันจะแอบอยู่บนหลังคาและรอคอยโอกาส เพื่อปรากฏตัวระหว่างที่เหยื่อได้หลับสนิทแล้ว จากนั้นก็จะนั่งทับเหยื่อหรือบีบคอให้ร่างกายขยับไม่ได้หรือเป็นอัมพาต จากนั้นเหยื่อก็จะรู้สึกอึดอัดจนตื่นขึ้น ทันใดนั้นเหยื่อผู้โชคร้ายก็จะพบเจอกับ พิซาเดลา ที่กำลังยิ้มกว้างให้เผยให้เห็นฟันสีเขียวที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นอย่างมาก หลังจากนั้นเหยื่อก็จะกลัวจนไม่สามารถขยับตัวได้ ต่อให้พยายามกรีดร้องแค่ไหนก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อยและเหยื่อก็จะขาดใจตายในที่สุด ( พิซาเดลา  มักจะหลอกให้เหยื่อตายใจก่อนทุกครั้งเพราะมันชอบในการทรมานจิตใจของเหยื่อมากๆ )       บ้างก็ว่า พิซาเดลา จะปรากฏตัวออกมาเป็นคนที่ใกล้ตัวของเหยื่อเพื่อให้เหยื่อตายใจ เช่นแม่ หรือบางครั้งก็จะมาโดยร่างจริงซึ่งก็คือยายแก่ที่มีผิวหนังเหี่ยวย่น ร่างกายซูบผอม หรืออาจมาในรูปแบบของเงาดำหรือเงาร่างยักษ์      ชาวบราซิลเชื่อว่า พิซาเดลา  เป็นปีศาจที่จะมาลงโทษพวกที่มีนิสัยชอบกินตะกละและขี้เกียจ โดยมันจะเลือกเฉพาะเหยื่อที่มีนิสัยแบบนี้ ชาวบราซิลจึงมีความเชื่อว่าไม่ควรนอนหลับหลังจากที่ทานข้าวเย็นโดยทันทีแต่ควรนั่งรอสักพักให้อาหารย่อยก่อน ไม่งั้นก็จะตกเป็นเหยื่อของ พิซาเดลา  ได้      การขับไล่ พิซาเดลา ในบันทึกหรือตำนานยังไม่มีการปรากฏหรือบันทึกไว้ แต่เชื่อว่าการไม่กินอาหารค่ำแล้วไปนอนทันทีอาจจะช่วยป้องกัน พิซาเดลา ได้ และอีกอย่างก็คือ ควรนอนคว่ำ ไม่ควรนอนหงาย เพราะ พิซาเดลา […]

Flying Dutchman เรือผีสุดสยอง

Flying Dutchman เรือผีสุดสยอง

Flying Dutchman เป็นเรือผีที่โด่งดังมาจากเรื่อง Pirates of the Caribbean ซึ่งมีต้นฉบับมาจากเรื่องจริงตามหน้าประวัติศาสตร์ โดยกล่าวกันว่า เรือผี Flying Dutchman เป็นซากเรือเก่าๆที่ลอยได้ มีกัปตันและลูกเรือเป็นภูตผีปีศาจชวนขนลุก ใครก็ตามที่ได้เห็นมักจะประสบพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเหมือนถูกสาป ซึ่ง Flying Dutchman จะเเล่นไปเรื่อยๆบริเวณแหลมกู๊ดโฮปจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก Flying Dutchman เรือผีสุดสยอง ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Flying Dutchman มีหลายที่มา ตำนานแรกกล่าวถึงกัปตันคนหนึ่งชื่อ  “ฟาน เดอร์ เดกเคน” เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพพระเจ้าองค์ใด แถมยังไม่นับถือศาสนา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกสาปให้จองจำอยู่บนเรือ Flying Dutchman ชั่วนิรันดร์ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ขณะที่ฟาน เดอร์ได้นำลูกเรือแล่นผ่านแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งเป็นสถานที่อาถรรพ์ เขาที่ไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ไม่ยอมบอกลูกเรือว่า จะแล่นเรือมาเส้นทางนี้ ขณะที่เรือเข้าสู่อาณาเขตของแหลมกู๊ดโฮป มีแสงสว่างจ้าบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังก้องปริศนาว่า เจ้าบังอาจลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องทะเล ฉับพลันก็เกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นจมเรือ Flying Dutchman ล่ม ไม่มีใครรอดชีวิตซักคน ว่ากันว่าฟานเดอร์ถูกสาปให้กลายเป็นผีเฝ้าเรือ Flying Dutchman ให้แล่นเรือผ่านไปมาที่แหลมกู๊ดโฮปไม่จบไม่สิ้น บ้างก็ว่าแท้จริงแล้ว […]

จุดธูปไหว้พระอย่างไร…ให้ปลอดภัยต่อร่างกายจากควันธูป

จุดธูปไหว้พระอย่างไร...ให้ปลอดภัยต่อร่างกายจากควันธูป

จุดธูปไหว้พระอย่างไร…ให้ปลอดภัยต่อร่างกายจากควันธูป ก่อนจะเท้าความเรื่องควันธูปนั้น การทำบุญไหว้พระเป็นประเพณีชาวไทยปฏิบัติมายาวนาน โดยใช้ธูปเทียนแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือบูชา เมื่อจุดธูปมากๆ ในแต่ละครั้ง จะปล่อยควันธูปออกมา ซึ่งเกิดจากธูปที่เผาไหม้จะปล่อยฝุ่นละอองและสาร “มลพิษ” มากมาย ซึ่งสารบางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง โดยมี 3 สารอันตรายจากธูป ในควันธูปมีสารเบนซีน (Benzene) 1, 3 บิวทาไดอีน (1, 3 Butadiene) เบนโซเอไพรีน (Benzoapyrene) จุดเด่นของ “ควันธูป” จากการไหว้พระ จะต้องระมัดระวังยังไง โดยสารในควันธูปเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการเผาไหม้ของกาว ขี้เลื่อย และน้ำหอมในธูป สายดังกล่าวก่อมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือด, มะเร็งปอด, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ในควันธูปมีสารพิษอีกมากมายหลายชนิดที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์, ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารในควันธูปมีฤทธิ์ทำให้ระคายเคืองตา และระบบทางเดินหายใจ เช่น แสบตา น้ำตาไหล จาม ไอ หายใจลำบาก หมดสติได้เมื่อสูดดมควันธูปหรือได้รับจากการสูดดมนานๆ โดยจะต้องหลีกเลี่ยงการจุดธูปบริเวณที่อากาศไม่ถ่ายเท หรือถ่ายเท ระบายควันธูปไม่สะดวก ควรใช้ธูปสั้นแทนธูปขนาดยาว […]

คิราซากิ สถานีรถไฟผี

คิราซากิ สถานีรถไฟผี

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแถบเอเชียที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่สยองขวัญมากมาย โดยสถานีคิซารากิหรือสถานีรถไฟผีเองก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าหลอนๆ ที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เชื่อว่ามีอยู่จริง ซึ่งหากเทียบกับเรื่องเล่าสถานที่ลึกลับมหัศจรรย์ในไทยแล้ว คิราซากิเปรียบเสมือนกเมืองลับแล ที่ใครก็ตามย่างก้าวเข้าไป จะไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเลย ความน่ากลัวของสถานีรถไฟผีคิราซากิ จุดเริ่มต้นของตำนานสถานีรถไฟผีคิราซากินั้น มาจากเว็บบอร์ดหนึ่งของชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีหัวข้อกระทู้ว่า ให้ทุกคนมาร่วมแชร์เรื่องเล่าหลอนที่ตัวเองประสบพบเจอให้ผู้อื่นได้ฟังกัน โดยมีคอมเม้นต์หนึ่งที่ได้รับความนิยมและน่าขนลุกมาก อย่างคอมเม้นต์ที่ 98 เล่าว่า ขณะที่เขากำลังขึ้นรถไฟกลับบ้านได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ในโบกี้มีคนเพียง 5 คน ซึ่งแต่ละคนหลับไม่ได้สติเหมือนไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง  ปกติแล้วรถไฟจะถึงสถานีภายใน 3-5 นาที แต่เขานั่งมานานถึง 20 นาทีแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่า รถไฟจะจอดเลย  เมื่อดูสถานีที่จะไปถึงก็ขึ้นว่า สถานีคิราซากิ ซึ่งเป็นสถานีที่เขาไม่รู้จักมาก่อน มีคอมเม้นต์ตอบกลับมากมาย ให้เขาลองเดินดูรอบๆและไปถามนายสถานีดูว่า รถไฟนี้จะมุ่งหน้าไปที่ไหนกัน เจ้าของคอมเม้นต์ที่ 98 จึงเดินไปถามที่หัวรถไฟ แต่ไม่มีใครยอมเปิดประตูหรือตอบกลับมาเลย เขาจึงกลับไปนั่งรอที่เดิมจนกระทั่งรถไฟลอดผ่านอุโมงค์ ซึ่งเขาจำได้ว่า ทางที่เคยไปไม่มีอุโมงค์อยู่เลย ไม่นานรถไฟก็จอดเทียบชานชลา เหล่าคนคอมเม้นต์ก็ต่างเชียร์ให้เขาเดินลงไปดูที่ชานชลา แต่ทันทีที่เขาได้ก้าวเท้าลงจากรถไฟ ประตูรถไฟก็ปิดเองและรีบแล่นออกไปด้วยความเร็วสูง ชานชลานั้น เหมือนสถานที่รกร้างไม่ได้ใช้งานมาหลายปี เต็มไปด้วยต้นไม้เถาวัลย์เลี้ยวลด ไร้ซึ่งวี่แววของคนและสิ่งมีชีวิต เขาจึงตัดสินใจโทรหาพ่อแม่ว่า ตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ชานชาลาคิราซากิ มารับหน่อ ย แต่พ่อแม่ก็ตกใจมากเพราะชานชลาที่นี้ไม่มีอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเลย […]

Exorcism พิธีไล่ผีกับโศกนาฏกกรรมอันน่าเศร้าของ อนาลิส มิเชล

Exorcism พิธีไล่ผีกับโศกนาฏกกรรมอันน่าเศร้าของ อนาลิส มิเชล

The Exorcist เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนักปราบผี ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเรื่องราวนี้มีที่มาจากเรื่องจริงของ “อนาลิส มิเชล” หญิงสาววัย 26 ปี ซึ่งถูกผีสิงจนตายและปัจจุบันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่า สาเหตุการตายของเธอนั้น เป็นเพราะพิธีไล่ผีภูตผีปีศาจ อาการทางจิตหรือทางร่างกายกันแน่ เรื่องเล่าสุดหลอนของอนาลิส มิเชลในพิธีไล่ผี อนาลิส มิเชล เกิดในปี 1952 เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ประเทศเยอรมัน ซึ่งครอบครัวของเธอนั้น เคร่งศาสนามาก จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 26 ปี เธอก็เริ่มมีอาการแปลกประหลาดอยู่ดีๆก็วูบหมดสติ ชอบเดินใจลอย เหมือนวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆจนอาจเป็นอันตรายได้ พ่อแม่ของเธอจึงพาไปโรงพยาบาลและหมอได้วินิจฉัยโรคว่า เธอเป็นโรคลมชักหรือโรคลมบ้าหมูขั้นรุนแรง ซึ่งโรคนี้มีอาการข้างเคียง คือ ทำให้ประสาทหลอนและอาจสูญเสียความทรงจำได้ หมอจึงให้ยาจำนวนมากกับเธอและให้พักรักษาตัวอยู่บ้าน แต่ไม่ว่าอนาลิส มิเชลจะกินยาไปมากมายเท่าไหร่ อาการของเธอก็ไม่ดีขึ้นเลย มีแต่จะแย่ลงทุกวัน เมื่อยาเอาไม่อยู่ พ่อแม่ซึ่งเป็นคนเคร่งศาสนาจึงได้ไปขอร้องให้บาทหลวงช่วยทำพิธีไล่ผีให้ แต่บาทหลวงทุกคนก็ปฏิเสธบอกว่า ที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีวิญญาณหรือปีศาจสิงอยู่ในร่างเลย แต่จนแล้วจนรอดพ่อแม่ของเธอก็หาบาทหลวงมาไล่ผีให้จนได้ ซึ่งบาทหลวงคนนั้น ทำการไล่ผีให้เธอถึง 67 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 10 เดือน ตกครั้งละสี่ถึง  4-6 ชั่วโมง […]