ความเชื่อเรื่องเวทย์มนตร์คาถา

ความเชื่อเรื่องเวทย์มนตร์คาถา

เวทมนตร์คาถาหมายถึงการใช้อำนาจเหนือธรรมชาติเพื่อทำร้ายผู้อื่น ผู้ใช้เวทย์มนตร์คาถาคือแม่มด ที่มาของคำนี้เกิดในยุโรปยุคกลางและยุโรปสมัยใหม่ตอนต้น หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดมักเป็นผู้หญิงที่ถูกเชื่อว่ามีความประสงค์ร้ายและทำร้ายต่อชุมชนของตนเอง และพวกเธอมักจะติดต่อกับสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายได้ มีความเชื่อกันว่าเวทย์มนตร์คาถาสามารถป้องกันได้ด้วยเวทมนตร์ป้องกันหรือเวทมนตร์ต่อต้าน ซึ่งสามารถทำได้โดยหมอพื้นบ้านที่มีไหวพริบ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดยังถูกข่มขู่, เนรเทศ, โจมตีหรือถูกฆ่า บ่อยครั้งที่พวกหล่อนจะถูกดำเนินคดีและลงโทษอย่างเป็นทางการ หากพบว่ามีความผิดหรือเพียงเชื่อว่ามีความผิด  ความกลัวเวทย์มนต์คาถาเป็นสาเหตุของการล่าแม่มด การล่าแม่มดและความเกลียดกลัวการกระทำของแม่มดของยุโรปในยุคต้นสมัยใหม่นำไปสู่การประหารชีวิตหญิงนับหมื่นชีวิต แม้ว่าหมอพื้นบ้านบางคนจะถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนตร์คาถาเช่นกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อยของผู้ถูกกล่าวหาเหล่านั้น ความเชื่อเรื่องเวทย์มนตร์คาถาของชาวยุโรปค่อยๆ ลดน้อยลงในระหว่างและหลังยุคแห่งการตรัสรู้ วัฒนธรรมร่วมสมัยที่เชื่อในเวทมนตร์คาถาและสิ่งเหนือธรรมชาติ นักมานุษยวิทยาได้ใช้คำว่า คาถากับความเชื่อที่คล้ายคลึงกันและการปฏิบัติที่ลึกลับซึ่งอธิบายโดยวัฒนธรรมที่ไม่ใช่เป็นของชาวยุโรปจำนวนมากและวัฒนธรรมที่ใช้ภาษาอังกฤษมักจะเรียกการปฏิบัติเหล่านี้ว่า “เวทย์มนตร์คาถา” เช่นกัน  ขอบคุณภาพประกอบจาก Sky News ชุมชนพื้นเมืองที่เชื่อในการมีอยู่ของเวทมนตร์คาถาให้นิยามคำว่าแม่มดว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหมอและแพทย์ของพวกเขา ซึ่งแสวงหาการปกป้องตนเองจากแม่มดและเวทมนตร์คาถา การล่าแม่มดสมัยใหม่พบได้ในบางส่วนของแอฟริกาและเอเชีย ทฤษฎีที่ว่าเวทย์มนตร์คาถาเป็นสมมติฐานของลัทธิแม่มดเพื่อความอยู่รอดของศาสนานอกรีตในยุโรป ได้รับความนิยมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่หลังจากนั้นก็ถูกทำให้เสื่อมลง ในวัฒนธรรมตะวันตกร่วมสมัย ความลุ่มหลงในเวทย์มนตร์คาถาที่โดดเด่นและเติบโตที่สุดเกิดขึ้นกับนิกายหนึ่งในทศวรรษ 1950 พวกนอกศาสนาสมัยใหม่บางคนถูกระบุว่าเป็นแม่มด และใช้คำว่าเวทย์มนตร์คาถาเพื่อช่วยเหลือตนเอง, การรักษาโรค และการทำนายทางพิธีกรรม แนวคิดเรื่องเวทย์มนตร์คาถาและการดำรงอยู่ของมันมีอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์ แนวคิดเรื่องเวทย์มนตร์คาถาและความเชื่อในการดำรงอยู่ของมันมีอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ มีการค้นพบหลายครั้งและในหลากหลายรูปแบบในวัฒนธรรมทั่วโลก และมันยังคงมีบทบาทสำคัญในบางวัฒนธรรมในปัจจุบัน สังคมส่วนใหญ่เชื่อและกลัวในความสามารถของบุคคลบางคนในการก่อให้เกิดอันตรายที่เหนือธรรมชาติและความโชคร้ายแก่ผู้อื่น สิ่งนี้อาจมาจากแนวโน้มของมนุษยชาติเองที่ “ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ดีหรือร้ายอย่างน่าทึ่งไม่ว่าจะเกิดจากมนุษย์หรือสิ่งที่อยู่เหนือมนุษย์” ขอบคุณภาพประกอบจาก INSIDER นักประวัติศาสตร์และนักมานุษยวิทยามองว่าเวทมนตร์คาถาเป็นอุดมการณ์หนึ่งในการสื่อถึงความโชคร้ายซึ่งแสดงออกในรูปแบบที่หลากหลาย แต่บางวัฒนธรรมมีความกลัวต่อเวทมนตร์คาถาน้อยกว่าที่อื่นๆ มาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าความโชคร้ายที่แปลกประหลาดมักเกิดจากเทพเจ้า, วิญญาณ, ปีศาจ […]

ช้างเอราวัณ…ควรค่าแก่การไปเคารพ

ช้างเอราวัณ...ควรค่าแก่การไปเคารพ

ก่อนจะเท้าความเรื่องช้างเอราวัณ ซึ่งเคยมีเรื่องเล่าในทางความเชื่อของศาสนาฮินดู เรื่องมันมีอยู่ว่าพระศิวะได้ประทานช้างเชือกหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “ช้างเอราวัณ” ให้เป็นช้างทรงของพระอินทร์ ว่ากันว่า…ช้างเชือกนี้คือเทพบุตรองค์หนึ่ง ไม่ว่าพระอินทร์จะเสด็จไปที่ไหน เทพบุตรจะแปลงกายเป็นช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นช้างเผือกที่มี 33 เศียร แต่ละเศียรมีงา 7 งา แต่ละงามีความยาว 7 ล้านวา มีสระบัว 7 สระ ในสระมีดอกบัว 7 ดอก 7 กลีบ 7 เกสร แต่ละเกสรที่มีในช้างเอราวัณมีปราสาท 7 ชั้น แต่ละชั้นมี 7 ห้อง 7 บัลลังก์ แต่ละบัลลังก์มีเทพธิดาสถิต 7 พระองค์ 7 บริวาร 7 ทาสีของเทพธิดาแต่ละคน ช้างเอราวัณ ส่งผลต่อศรัทธาในปัจจุบันแค่ไหน เห็นตัวเลขที่มีในช้างเอราวัณอย่าเพิ่งตกใจไป ซึ่งยังรวมทั้งนางอัปสรทั้งหมดประมาณ 190,248,432 นาง เทพธิดาบริวารรวมกัน 13,331,669,031 นาง เศียรทั้ง 33 เศียรของช้างเอราวัณมีอุเปนขาเทพธิดาสถิตเศียรละองค์ โดยปกติแล้วช้างเอราวัณช่วยในทางสายศิลปะวัฒนธรรมมากกว่าความเชื่อโดยตรง […]

ตำนาน อามาปิเอะ ปลาหน้าคน ภูติผู้นำพาความสุข

ตำนาน อามาปิเอะ ปลาหน้าคน ภูติผู้นำพาความสุข

     อามาปิเอะ ตามตำนานเล่าว่า ราวๆ140ปีก่อน ในบันทึกวางาโคโรโมะ กล่าวถึงจินจาฮิเมะ หรือปลาหน้าคนที่ปรากฏตัวออกมาจากท้องทะเลที่ฮาบาเมะแคว้นฮิเซ็นแห่งคิวชู หรือในปัจจุบันคือจังหวัดซางะและนางาซากิ และเมื่อบ้านเมืองจะเกิดภัยอันตราบขึ้น อามาปิเอะ จะปรากฏตัวออกมาเพื่อภัยแก่เหล่าชาวบ้านเพื่อให้เหล่ามนุษย์ตั้งตัวได้ทัน  การปรากฏตัวของอามาปิเอะ ภูติส่งข่าวแห่งท้องทะเล      อามาปิเอะ จะปรากฏตัวออกมาเพื่อเตือนและแจ้งข่าวทั้งดีและร้ายให้แก่มนุษย์เพื่อให้ตั้งตัวไดทัน และครั้งสุดท้ายที่อามาปิอ ปรากฏตัวออกมานั้น ได้แจ้งข่าวว่าประเทศญี่ปุ่นจะมีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปอีก6ปี และหลังจากนั้นจะเกิดโรคระบาดขึ้น ซึ่งก็คือโรคอหิวาตกโรค หรือโรคห่านั่นเอง  โดยอามาปิเอะ  ยังพูดเสริมขึ้นอีกว่า หากผู้ใดไม่เชื่อในคำพูดและการมีตัวตนอยู่ของข้า ให้นำร่างของข้า ไปให้ผู้นั้นดู แสดงให้เห็นว่า อามาปิเอะ อาจจะเคยส่งข่าวแก่มนุษย์มาหลายครั้งแล้วจึงกล้าที่จะเอาร่างกายของตนเองเป็นประกันเพื่อให้เชื่อข่าวที่ตนบอกแก่มนุษย์      โดยคนญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่าอามาปิเอะ  อาจจะเป็นข้ารับใช้ของเทะเจ้าแห่งมหาสมุทร เพราะอามาปิเอะ  จะบอกทุกครั้งที่มาแจ้งข่าวว่า “ตัวข้านั้นมาจากวังมังกร” เพราะในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เชื่อว่ามังกร เป็นเทพเจ้าที่คอยดูแลสมดุลและคอยดูแลปกป้องมหาสมุทร      อามาปิเอะ ถูกจัดเป็นเทพกึ่งปีศาจ เพราะอามาปิเอะ มีรูปร่างเป็นปลาและมีใบหน้าและศีรษะเป็นมนุษย์เพศหญิง และด้วยการกระทำที่หวังดีต่อมนุษย์ คือการส่งข่าวทั้งดีและร้ายให้แก่มนุษย์ และคอยเตือนภัยพิบัติและอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้มนุษย์นั้น สามารถตั้งตัวและรับมือกับสถานการณ์ได้ทัน ทำให้คนญี่ปุ่นยกย่องอามาปิเอะ ว่าเป็นเทพที่นำพามาซึ่งความสุขแก่เหล่ามวลมนุษย์ ถึงแม้รูปร่างของอามาปิเอะ จะดูขัดกับคำว่าเทพเจ้าก็ตาม      ด้วยความที่ชาวญี่ปุ่นนับถืออามาปิเอะ เป็นดั่งเทพเจ้า จึงได้มีการวาดรูปของอามาปิเอะ ไว้เพื่อประดับและตกแต่งฝาบ้าน และในช่วงที่เกิดโรคระบาด ซึ่งก็คือโรคอหิวาตกโรค หรือโรคห่า […]

ตำนาน อาคานาเมะ ปีศาจเลียของเสียตามห้องน้ำ

ตำนาน อาคานาเมะ ปีศาจเลียของเสียตามห้องน้ำ

     อาคานาเมะ เป็นโยไคที่มีพฤติกรรมคล้ายกับพวกผีไทยอย่างหนึ่งคือ ชอบเลียและกินคราบของเสียที่อยู่ตามห้องน้ำ เช่นคราบตามชักโครก หรือคราบที่เปื้อนตามผนัง เพดาน พื้นของห้องน้ำ ซึ่งอาคานาเมะ จะโปรดปรานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคราบอุจจาระ ปัสสาวะ หรือของเสียต่างๆ ซึ่งถ้าอาคานาเมะ พบเห็นห้องน้ำใดที่สกปรกมากๆ ก็จะชอบใจและเลียกินคราบสกปรกพวกนั้นจนกว่าจะหมด แต่ถ้ามีใครที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ มันหรือกำลังจะพบเห็นมัน มันก็จะรีบคลานหนีออกจากห้องน้ำนั้นไปโดยทันที การพบเจอกับ อาคานาเมะ และความเป็นอันตรายต่อมนุษย์      อาคานาเมะ ถูกจัดเป็นโยไคที่ไม่เป็นอะไรต่อมนุษย์เพราะอาคานาเมะ ชอบเพียงอย่างเดียวคือ ของเสียหรือคราบสกปรกในห้องน้ำเท่านั้น ซี่งอาคานาเมะจะเลียกินจนคราบที่เกาะอยู่ตามห้องหมด จนสะอาดหมดจด และชอบมากโดยเฉพาะอุจจาระและปัสสาวะ ที่เกาะตามชักโครก      ซึ่งพฤติกรรมการกินของเสียนี้ ก็คงคล้ายกับผีไทย เช่นพวกกระสือหรือเปรต อาคานาเมะ ก็เช่นเดียวกัน เพราะอาคานาเมะ ก็อาจเป็นโยไคที่มีสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นผีกินของเสียคล้ายกับพวกกระสือหรือเปรตของไทย เนื่องจากกรรมเก่าที่เคยทำในชาติก่อน จึงทำให้เกิดเป็นอาคานาเมะ   ที่ชอบเลียและกินของเสีย ซึ่งนอกจากพวกของเสียต่างๆและคราบสกปรกที่เกาะตามห้องน้ำ อาคานาเมะ ก็ไม่สามารถที่จะกินอะไรอย่างอื่นได้เลย และรูปร่างของอาคานาเมะ จะมีรูปร่างคล้ายยักษ์ และมีผมหยิก ตามตัวของมัน จะมีสิ่งสกปรกต่างๆเกาะอยู่ โดยเฉพาะพวกแมลงสาป หรือพวกหนอน      และเมื่อเวลาที่อาคานาเมะ จะเคลื่อนย้ายมันไปที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะโดยวิธรการคลานหรือเดิน  มันจะชอบสบัดผมที่หยิกของมันบ่อยๆ เพื่อให้คราบและสิ่งของสกปรก […]

ตำนาน สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ตำแหน่งที่ตั้งรูปปั้นของนางฟ้าไร้หัว

ตำนาน สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ตำแหน่งที่ตั้งรูปปั้นของนางฟ้าไร้หัว

    สุสาน เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อมากในเรื่องการล่าท้าผี ใครที่ชื่นชอบในการล่าท้าผีหรือสิ่งลี้ลับละก็ สุสานหรือป่าช้าก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรพลาดเลยละ แล้วสำหรับเรื่องราวที่จะนำมาเล่าในวันนี้ ก็เป็นตำนานของสุสานกลางป่าแห่งหนึ่ง ที่เล่าต่อๆกันมาว่า ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากจนถึงขีดสุดเพื่อที่จะเดินผ่านสุสานป่าแห่งนี้ได้ และนอกจากเรื่องความน่ากลัวของวิญญาณในป่าแล้ว สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ยังมีอีกตำนานที่น่ากลัวและเป้นปริศนาน่าค้นหาพอกัน ก็คือตำนานของรูปปั้นนางฟ้าไร้หัวที่ตั้งอยู่ใจกลางของสุสานป่าแห่งนี้นั่นเอง      เอาล่ะ เกริ่นกันมายาวพอสมควรแล้ว ใครที่พร้อมแล้วก็มาอ่านเรื่องลี้ลับของ สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์            กันได้เลย…… ตำนานและความน่ากลัวของ สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ( Forest Park Cemetery, Brunswick )     เนื่องด้วยที่สถานที่แห่งนี้เป็นสุสาน ผีและวิญญาณจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถานที่แห่งนี้ ว่ากันว่าใครที่เดินผ่านป่าแห่งนี้ก็มักจะต้องพบเจอกับวิญญาณของคนที่ถูกนำมาฝังในสถานที่แห่งนี้ และนอกจากหลุมศพที่ตั้งอยู่ใน สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นสิ่งประหลักหักพังอยู่ด้วย และอีกตำนานของ สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ที่เป็นทั้งจุดเด่นและจุดขายของสุสานกลางป่าแห่งนี้ก็คือ รูปปั้นของนางฟ้าที่หัวขาดไปแล้วนั่นเอง       ตำนานรูปปั้นนางฟ้าไร้หัวที่เป็นจุดเด่นของ สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์  เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความน่ากลัวของรูปปั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสุสาน ว่ากันว่า ใครก็ตามที่เดินเข้ามาใน สุสานกลางป่าผีสิง บรันสวิกส์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทั้งเข้ามาสำรวจ […]

เจียงซือ สัมภเวสีลูกผสมระหว่าง ผีดิบและกองกอยสุดหลอน แห่งดินแดนมังกร 

เจียงซือ สัมภเวสีลูกผสมระหว่าง ผีดิบและกองกอยสุดหลอน แห่งดินแดนมังกร

     เจียงซือ เป็นผีที่มีรูปร่างคล้ายกับผีดิบผสมกับผีกองกอย เพราะเจียงซือ จะเคลื่อนที่โดยการกระโดด เหมือนกองกอย และเป็นผีที่เกิดจากศพ จึงเป็นที่มาของชื่อ ผีดิบแห่งดินแดนจีน และเจียงซือ ยังถูกนำไปสร้างเป็นหนังหรือปรากฏตัวในเกมหลายๆเกมอีกด้วย เจียงซือ ความเชื่อเกี่ยวกับการสัมภเวสีผีนอนโลง      ตามความเชื่อ เจียงซือ จะดูดเลือดมนุษย์เป็นอาหาร ซึ่งในตอนกลางวันจะนอนหลับอยู่ในโลงหรือถ้ำ และจะออกดูดเลือดมนุษย์ในเวลากลางคืน โดยมีความเชื่อว่า หากถูกผีเจียงซือ กัด ก็จะทำให้ผู้ที่ถูกกัดกลายเป็นเจียงซือ      เจียงซือ จะเคลื่อนที่โดยการกระโดดโดยใช้ขาทั้งสองข้างพร้อมกัน เชื่อว่าหากเจียงซือ กระโดดข้ามกระสอบข้าว มันจะก้มลงนับเมล็ดข้าวที่อยู่ในกระสอบทุกเมล็ด จึงเชื่อกันต่อๆมาว่า หากโปรยเมล็ดข้าวลงบนพื้นหรือหลังคาแล้ว จะช่วยป้องกันเจียงซือ หรือช่วยถ่วงเวลาเจียงซือ จนถึงเวลาเช้าได้       แท้ที่จริงแล้ว ที่มาของเจียงซือ มาจากพิธีกรรม การส่งศพพันลี้ ของคนจีนในสมัยก่อน ในกรณีการที่มีผู้ตายต่างถิ่น แล้วญาติของผู้ตายไม่มีเงินมากพอที่จะนั่งพาหนะรับศพกลับไปที่บ้านเกิด จึงมีการจากนักพรตเพื่อไปนำศพคนตายกลับมา โดยพิธีกรรม ส่งศพพันลี้จะทำในตอนกลางคืน และนักพรตที่ทำพิธีจะเตรียมกระดิ่งแขวนไว้ด้วย เพื่อให้คนที่อาศัยหรืออยู่ในละแวกนั้น รู้ว่ามีการทำพิธีอยู่ เพราะพิธีกรรมนี้จะทำให้ผู้ที่พบเห็น ได้รับโชคและลางร้าย และเรียกอีกอย่างว่า การขนศพในเซียงซี เพราะพิธีกรรมนี้โด่งดังและเป็นที่นิยมมากในเมืองเซียงซี       เพราะการเคลื่อนย้ายศพต้องเคลื่อนย้ายด้วยท่ายืนด้วยไม้ไผ่ และใช้คนสองคนในการแบกศพ โดยอยู่จะมีคน1ข้างหน้าและข้างหลัง1คน แต่ไม่ปรากฏว่า มีศพกระโดดไปข้างหน้าแต่อย่างใดมีเพียงการเล่าแบบปากต่อปาก ต่อ […]

ตำนาน ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล การเดินขบวนของเหล่าภูติผี

ตำนาน ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล การเดินขบวนของเหล่าภูติผี

     ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล เป็นการเดินขบวนของเหล่าโยไค ภูติผีปีศาจ ที่มารวมตัวกันแห่เดินพาเหรดในยามราตรี โดยไม่มีผุ้ใดทราบถึงจุดประสงค์ของขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล แต่เชื่อกันต่อๆมาว่า หากใครพบเห็น ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล จะต้องมีอันเป็นไปทุกคน แต่ก็ยังมีคาถาที่สามารถทำให้มีชีวิตรอดต่อไปได้อยู่ ซึ่งเหล่าปีศาจก็จะมีจำนวนตามชื่อเลย คือขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล ซึ่งมีผี100ตน 100 ชนิดนั่นเอง  ความเชื่อเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล      ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล ถ้าใครพบเห็นล่ะก็ต้องมีอันเป็นไป โดยในตำราโบราณชูไกโช ได้เล่าไว้ว่า การปรากฏตัวของขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล จะปรากฏตัวตามวันที่ดังนี้ ปรากฏตัวในคืนวันปีใหม่ ,วันชวดเดือน2 ,วันมะเมียเดือน3และเดือน4 ,วันมะเส็งเดือน5และ6 , วันจอเดือน7และ8 ,วันมะแมเดือน9และ10 ,วันมะโรงเดือน11และ12 ตามปฏิทินโบราณ      ภายในตำราโบราณชูไกโช ยังกล่าวไว้อีกว่า ผู้ใดก็ตามที่พบเห็นกับขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล       จะต้องมีอันเป็นไปไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นหากพบเห็น  ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล เข้าแล้วให้ท่องคาถา   カタシハヤ、エカセニクリニ、タメルサケ、テエヒ、アシエヒ、ワレシコニケ  (Katashihaya, Ekasenikurini, Tamerusake, Te-ehi,  Ashiehi, Wareshikonike )   เมื่อท่องคาถานี้จบแล้ว ให้รีบวิ่งนี้ออกจากบริเวณนั้นโดยทันที เท่านี้ก็จะไม่มีอันเป็นไปจากการพบเห็น […]

ตำนาน Lemp Mansion โรงแรมหลอนที่แพ็คคู่มาพร้อมกับประวัติศาสตร์การนองเลือด 

ตำนาน Lemp Mansion โรงแรมหลอนที่แพ็คคู่มาพร้อมกับประวัติศาสตร์การนองเลือด 

    คุณกล้าหรือป่าวหากถูกท้าให้ไปเข้าพักที่รงแรมแห่งหนึ่งที่มีคุณภาพระดับ5ดาว แต่โรงแรมแห่งนั้นเคยเกิดเหตุการณ์นองเลือดสุดสยองขึ้นมากมาย ใช่แล้ว โรงแรมที่พูดถึงอยู่นี้คือโรงแรม Lemp Mansion โรงแรมที่ตั้งอยู่ในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ประทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเคยเป็นบ้านที่มีขนาดถึง 33 ห้อง แต่ในปัจจุบันได้เปิดให้เป็นโรงแรมและร้านอาหาร ภายใต้ชื่อ Lemp Mansion  ตำนานการนองเลือดปริศนาของโรมแรม Lemp Mansion     Lemp Mansion เป็นโรมแรมที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1860 โดยวิลเลี่ยม เลมป์ ซึ่งในอดีตนั้นเขาคือเจ้าของโรงเบียร์ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเขาไม่ได้ตั้งใจจะสร้างให้สถานที่แห่งนี้เป็นโรงแรม แต่มันคือบ้านที่เขาจะได้อาศัยอยู่อย่างสงบสุขกับครอบครัวของเขา แต่สุดท้ายบ้านหลังนี้ก็เป็นสถานที่ที่ตระกูลแห่งนี้ต้องจบชีวิตลงด้วยการนองเลือดที่ยังไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้       ในปี 1904 วิลเลี่ยม เจ้าของบ้านหลังนี้ได้จบชีวิตของตัวเองในห้องนอนของตน หลังจากนั้น ลูกชายคนสุดท้องได้เสียชีวิตลงก่อนวัยอันควร และคุณนายเลมป์ก็ต้องตายด้วยโรคมะเร็ง และหลังจากนั้นในปี1922 วิลเลี่ยม เลมป์ จูเนียร์ ได้ฆ่าตัวตายในห้องเดียวกับที่พ่อฆ่าตัวตายโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุ จนกระทั่งในปี1946 ลูกชายคนที่3 ของตระกูลเลมป์ ได้ใช้อาวุธปืนลั่นไกใส่สุนัขของเขา และใช้มันจบชีวิตของตัวเองในห้องนอน และในปีเดียวกันนั้น บ้านหลังนี้ก็ถูกขายและกลายเป็นบ้านพักแบ่งเช่า       หลังจากที่บ้านหลังนี้ถูกขายไปและได้รับการซื้อจนกลายเป็นบ้านเช่าที่ปล่อยห้องพัก ก็มีผู้ที่มาอาศัยอยู่หลายต่อหลายคนอ้างว่า ระหว่างที่พักอยู่ที่แห่งนี้จะรู้สึกแสบี้อนตามร่างกาย และในขณะที่พวกเขาอาศัยอยู่ ประตูของบ้านก็มักจะเปิดและกระแทกเสียงดังในขณะที่พวกเขาหลับอยู่       ต่อมา บ้านหลังนี้ได้รับการซ่อมแซมบางส่วนและดัดแปลงเป็นโรงแรมและร้านอาหารโดยใช้ชื่อว่า […]

เจาะลึกตำนาน ปีศาจเจ้าสาวฟันดำไร้หน้าสุดหลอน โอฮาคุโระ เบซึตาริ ( ohaguro bettari )

เจาะลึกตำนาน ปีศาจเจ้าสาวฟันดำไร้หน้าสุดหลอน โอฮาคุโระ เบซึตาริ ( ohaguro bettari )

     ในสมัยญี่ปุ่นโบราณ ในพิธีแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องทาฟันของตัวเองให้กลายเป็นสีดำสนิท โดยจะต้องแสยะยิ้มในงานตลอดเวลา แต่ก็เชื่อว่ามีตำนานหนึ่งที่กล่าวถึงวิญญาณของเจ้าสาวที่ต้องตายด้วยความแค้นและความเศร้าโศกที่เผาไหม้อยู่ในจิตใจอย่างเต็มอก เพราะถูกเจ้าบ่าวทิ้งเขาไปในงานแต่งงาน จนทำให้เธอต้องตรอมใจตายตั้งแต่คืนนั้น จึงกลายเป็นตำนานของ ปีศาจสาวฟันดำ โอฮาคุโระ เบซึตาริ  ตำนานของเจ้าสาวผู้น่าสงสาร ปีศาจสาวฟันดำ โอฮาคุโระ เบซึตาริ       ปีศาจสาวฟันดำ โอฮาคุโระ เบซึตาริ เป็นตำนานที่กล่าวถึง หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังจะแต่งงานกับชายที่เธอหลงรักมานานแสนนาน ในวันแต่งงานเธอได้ทาฟันของเธอให้กลายเป็นสีดำตามประเพณีของญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมา    และเมื่อเริ่มพิธี ฝ่ายเจ้าบ่าวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ผู้คนที่เข้าร่วมภายในงานได้พากันออกตามหาเจ้าบ่าว แต่ไม่ว่าจะออกตามหาที่ใดก็ไม่อาจพบตัวของเจ้าบ่าวเลย ทำให้ทุกคนได้คิดไปในทางเดียวกันว่า ตัวเจ้าบ่าวนั้นอาจจะหนีไปเพราะไม่ได้อยากแต่งงานจริงๆ และถึงแม้วันนั้นจะยังไม่พบตัวของเจ้าบ่าว แต่ฝ่ายเจ้าสาวนั้นก็ยังคงอยู่ในชุดของเจ้าสาวเพื่อรอเจ้าบ่าวที่เธอต้องการแต่งงานด้วย      เมื่อเวลาผ่านไป2-3วัน ก็ได้พบว่า ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นได้หนีไปอยู่ที่บ้านของคนรักของเขา ซึ่งเขาก็ได้สารภาพว่าตนมีคนรักและครอบครัวอยู่แล้ว เมื่อความจริงนี้ไปถึงหูของเจ้าสาว เธอก็โศกเศร้าเสียใจมาก และยังกล่าวสาปแช่งชายผู้ที่เธอตกหลุมรักมาทั้งชีวิต จนเธอต้องตรอมใจตายไปในที่สุด      ด้วยความแค้นที่ล้นอยู่ในจิตใจ จึงทำให้วิญญาณของเธอกลับมากลายเป็น ปีศาจสาวฟันดำ โอฮาคุโระ เบซึตาริ โดยรูปร่างของเธอจะเหมือนกับตอนที่เธอมีชีวิตอยู่แทบทุกอย่าง และจากนั้นเธอก็ได้ออกตามล่า อดีตเจ้าบ่าวของเธอด้วยความแค้น และสามารถฆ่าอดีตเจ้าบ่าวได้สำเร็จ      ต่อมาได้มีผู้พบเห็น ปีศาจสาวฟันดำ โอฮาคุโระ เบซึตาริ มากขึ้น โดยเชื่อว่าหากพูดกับ ปีศาจสาวฟันดำ โอฮาคุโระ […]

เจาะลึกตำนาน ปีศาจตุ๊กแกจอมเขมือบ โชเคระ ( Shokera yokai )

เจาะลึกตำนาน ปีศาจตุ๊กแกจอมเขมือบ โชเคระ ( Shokera yokai )

     ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายๆคนกลัว ก็คงหนีไม่พ้น ตุ๊กแก ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดได้เต็มปาดเต็มคำเลยว่า ในโลกนี้จะต้องมีอยู่ สักประมาณ 40% ที่กลัวสัตว์ชนิดหนี ด้วยรูปร่างที่หน้ากลัวและตุ่มที่ขึ้นเต็มทั่วร่างกาย และเสียงร้องของมันที่ได้ยินทีไรก็ต้องวิ่งหนีทุกครั้ง ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กลัวไอ้ตุ๊กแกจนเข้าไส้ แทบจะพูดออกมาได้เลยว่าอยากจะให้สัตว์ชนิดนี้สูญพันธุ์  แต่ถึงอย่างนั้นตุ๊กแกก็ยังมีประโยชน์ในการไปทำยาต่างๆ โดยในวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ ปีศาจตุ๊กแกที่ได้ถูกเล่าขานไว้ว่า เป็นตุ๊กแกยักษ์ที่ชอบแอบมองและจับคนกินเป็นอาหาร โดยปีศาจตัวนี้มีชื่อว่า โชเคระ ( Shokera yokai ) ปีศาจตุ๊กแกจอมเขมือบ ตำนานปีศาจตุ๊กแกยักษ์ โชเคระ ( Shokera yokai )  รูปร่างของโชเคระ ( Shokera yokai )      โชเคระ ( Shokera yokai ) จะมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับตุ๊กแก โดยมีขนาดเกือบเท่ากับขนาดของมนุษย์เลยก็ว่าได้ โดยมันจะมีดวงตาที่กลมโตและเป็นสีเหลือง มีกงเล็บที่ยาวและแหลมคม ฟันของ โชเคระ ( Shokera yokai ) มีความคมและสามารถเขี้ยวร่างของเหยื่อให้ละเอียดได้โดยง่ายดาย พฤติกรรมของโชเคระ ( Shokera yokai )      โชเคระ ( […]