เจาะลึกตำนาน ปีศาจผ้าห่อศพสีขาวผู้ดูดกลืนวิญญาณ ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen )
ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านของการ์ตูน เกมส์ นิยาย หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับผี ใช่แล้ว….ผีของญี่ปุ่นก็ยังมีหลากหลายชนิด มีทั้งผีที่มีรูปร่างน่ากลัว บางตัวก็มีรูปร่างตลก จนเผลอพูดออกมาว่า ไอ้นี่มันคือผีจริงๆเหรอ และยังมีผีอีกมากมายที่มีรูปร่างแสนน่ารัก แต่วีรกรรมของมันไม่ได้ดูน่ารักเหมือนหน้าตาเลย โดย1ในผีที่จะพูดในวันนี้ก็คือ ปีศาจผ้าขาว ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen ) ตำนานการปรากฏตัวของปีศาจผ้าห่อศพสีขาว ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen ) ลักษณะของ ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen ) ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen ) จะมีลักษณะเป็นผ้าสีขาว ซึ่งเป็นผ้าที่นำมาใช้ห่อศพคนตายนั่นเอง และยังมีขนาดของผืนที่ใหญ่พอที่จะสามารถคลุมร่างของมนุษย์ได้ทั้งตัวเลยทีเดียว และจะมีใบหน้าและดวงตาทั้งสองข้างปรากฏอยู่บนร่างของมันอีกด้วย ตำนานของ ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen ) แต่เดิมแล้วเชื่อว่า ตันมะโมเม็ง ( Tanma-Momen ) เกิดจากวิญญาณร้ายที่เข้ามาสิงในผ้าขาวที่ใช้ห่อคนตาย ทำให้มันเกิดเป็นผ้าที่มีชีวิตและคอยไล่ล่าวิญญาณของมนุษย์เป็นอาหาร โดยมันจะล่องลอยอยู่บนฟ้าในยามค่ำคืนเพื่อคอยหาเหยื่อที่เป็นมนุษย์ และหากมันได้เจอเหยื่อที่ถูกใจและพร้อมจะมาเป็นเครื่องสังเวยอันโอชะของมันแล้วล่ะก็ มันก็จะถลาลมพุ่งเข้าหาเหยื่อและใช้ร่างที่เป็นผ้ารัดร่างของเหยื่อจนขาดอากาศหายใจตาย และ ตันมะโมเม็ง ( […]
เลข 13 อาถรรพ์ที่คนทั้งโลกต่างหวาดกลัว
เลข 13 ถือเป็นสิ่งอัปมงคลและอาถรรพ์ที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยแต่ละประเทศจะมีความเชื่อเรื่องเลข 13 แตกต่างกันแต่ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ เป็นเลขไม่ดี โดยจุดกำเนิดที่ทำให้ความเชื่อเรื่องเลข 13 แพร่หลาย คือ ศาสนาคริสต์ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า วันศุกร์ 13 นั้น เป็นวันที่อีฟชวนอดัมกินผลแอปเปิ้ลต้องห้ามเป็นเหตุให้มนุษย์ถูกขับไล่จากทรวงสวรรค์ และอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับลูกศิษย์ทั้ง 12 คน ผู้ที่นั่งลำดับที่ 13 รวมพระเยซูแล้ว คือ จูดาส ผู้ทรยศ ซึ่งทำให้พระเยซูต้องถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์ เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มเผยแพร่เป็นวงกว้าง ความเชื่อเรื่องเลข 13 หรือศุกร์ 13 จึงแพร่หลายตามไปด้วย อาถรรพ์เลข 13 ความเชื่อเรื่องเลข 13 ส่งผลต่อเหตุการณ์ต่างๆในโลกมากมาย โดยตามหลักโหราศาสตร์แล้ว เชื่อว่าเลข 13 หรือเลข 1 และ 3 เป็นคู่กาลกิณีกัน เพราะบวกกันแล้วได้เลข 4 ซึ่งในภาษาจีนแปลว่า ตาย ส่วนในวัฒนธรรมไทยนั้น มีความเชื่อแปลกแหวกแนวอยู่ที่เลข 13 […]
เจาะลึกตำนาน ภูติแห่งลม3พี่น้องในตำนาน คาไมทาจิ ( kamaitachi )
เวลาที่นักเดินป่าหรือชาวบ้านที่เข้าไปเก็บของป่าหรือขึ้นไปบนภูเขา มักจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูติแห่งลมที่มักจะปรากฏตัวออกมาเพื่อทำพฤติกรรมแปลก คาไมทาจิ เป็นภูติแห่งลมตามตำนานของญี่ปุ่น เชื่อว่ามันจะปรากฏตัวออกพร้อมกันทั้งสามพี่น้อง โดยคำว่า คามะ แปลว่า เคียว ส่วนคำว่า อิทาจิ แปลว่า ตัววีเซิล เมื่ออ่านรวมกันจะอ่านได้ว่า คาไมทาจิ นั่นเอง การปรากฏตัวและสัญชาติญาณของภูติแห่งลม คาไมทาจิ คาไมทาจิ มีรูปร่างคล้ายกับตัว พังพอน โดยพวกมันจะอยู่รวมกันสามตัวพี่น้อง โดย คาไมทาจิ เป็นภูติที่ชอบการต่อสู้ บ่อยครั้งที่มันมักจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์ โดย คาไมทาจิ ตัวแรกซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดจะสร้างลมพายุรุนแรงทำให้เหยื่อลมลงไป หลังจากนั้น คาไมทาจิ ตัวที่สอง ก็จะพุ่งเข้ามาใช้กงเล็บอันแหลมคมฟาดฟันไปที่เหยื่อจนเกิดบาดแผล แต่เหยื่อจะไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองมีอาการบาดเจ็บแต่อยากใด นั้นเป็นเพราะ คาไมทาจิ ตัวที่3 ซึ่งเป็นน้องเล็กสุด ได้ทายาที่ผสมด้วยสมุนไพรและยาพิเศษมากมายที่สามารถรักษาบาดแผลได้ทันที หรือจะพูดสรุปง่ายๆก็คือ คาไมทาจิ จะสร้างบาดแผลกับเหยื่อแล้วก็จะทายาให้ โดยที่เหยื่อจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้เช่นกันว่า ทำไม คาไมทาจิ ต้องทำเช่นนั้น แต่เท่าที่มีการกล่าวขาน มันก็อาจไม่น่ากลัวหรืออันตรายอะไรมาก หากแต่มีเหยื่อบางคนที่โดน คาไมทาจิ ฟันให้เกิดบาดแผลและทายา ซ้ำๆหลายรอบ จนเหยื่อมีบาดแผลไปทั่วลำตัว ซึ่งถ้าทำแบบนี้หลายๆรอบก็น่ากลัวอยู่พอสมควร […]
เจาะลึกตำนาน ปีศาจผู้หลงใหลและคลั่งไคล้ในการข่มขืน พรอปโบบาว่า ( Popobawa ) Ep.1
พรอปโบบาว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจที่คอยสะกดรอยตามผู้คนในประเทศแทนซาเนีย โดยส่วนใหญ่แล้วเหยื่อของ พรอปโบบาว่า จะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง และการมีตัวตนของ พรอปโบบาว่า จะถูกพูดถึงอย่างมากในเกาะ แซนซิบาร์ บนคาบสมุทรอินเดีย โดยมีการตั้งชื่อให้กับเจ้าปีศาจค้างคาวตัวนี้ว่า ปีศาจจอมข่มขืนชาย เพราะพฤติกรรมที่ชอบข่มขืนผู้ชายนั่นเอง เอาล่ะลองไปฟังต้นกำเนิดของเจ้า พรอปโบบาว่า กันดีกว่า ต้นกำเนิดของปีศาจค้างคาวตาเดียว พรอปโบบาว่า แห่งแทนซาเนีย พรอปโบบาว่า เป็นปีศาจที่มีรูปร่างเป็นค้างคาวที่มีดวงตาเพียงดวงเดียวซึ่งอยู่ที่กลางใบหน้าของมัน พรอปโบบาว่า มีปีกที่กว้างและใหญ่ โดยปกติ พรอปโบบาว่า มักจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืน แต่ในประเทศแทนซาเนียก็มีบางส่วนที่เล่าว่าเคยพบเจอ พรอปโบบาว่า ปรากฏตัวออกมาในตอนกลางวัน ต้นกำเนิดของปีศาจค้างคาว พรอปโบบาว่า พรอปโบบาว่า เป็นตำนานที่พึ่งถูกพูดถึงเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ พรอปโบบาว่า แตกต่างกันไปมากมาย เช่น บางส่วนเชื่อกันว่า พรอปโบบาว่า คือสิ่งลี้ลับที่เรียกว่า “จิน” ซึ่งเป็นวิญญาณร้ายที่ชาวอาหรับเลี้ยงไว้เพื่อใช้ทำร้ายผู้อื่นที่ตนเองรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าหรือเกลียด โดยเชื่อว่า จิน ที่สูญเสียการควบคุมจะกลายเป็น พรอปโบบาว่า บ้างก็ว่า พรอปโบบาว่า เกิดจากวิญญาณของทาสที่โดนทรมานอย่างแสนสาหัสเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปวิญญาณที่โกรธแค้นจึงเกิดเป็น พรอปโบบาว่า เพื่อคอยทำให้เหยื่อของมันได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของความเจ็บปวดนั่นเอง นอกจากนี้ นักโหราศาสตร์ของแทนซาเนีย นามว่า […]
เจาะลึกตำนาน ภูติเงือกทะเลแห่งตำนานท้องเลของญี่ปุ่น
ตำนานของสิ่งที่เรียกว่า ภูติเงือกทะเล หรือนางเงือก ก็คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเพราะนางเงือกปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นในหนัง การ์ตูนหรือเกมส์ และในตำนานของประเทศต่างๆก็มีการกล่าวถึงนางเงือกแทบทั้งสิ้น แต่อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำนานของแต่ละพื้นที่ แต่ในวันนี้ ภูติเงือกทะเล หรือนางเงือกที่เราจะมาพูดถึงก็คือ นางเงือกในตำนานตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั่นเอง เรื่องเล่าเกี่ยวกับการพบเจอ ภูติเงือกทะเล ของชาวญี่ปุ่น ในอดีตได้มีหญิงสาวคนหนึ่งได้บังเอิญไปเห็นร่างของ ภูติเงือกทะเล นอนหงายราวกับจะหมดสติที่ริมโขดหิน โดยร่างกายของ ภูติเงือกทะเล กำลังจะแห้งตาย เธอจึงอุ้มเงือกตัวนี้แล้วโยนร่างลงไปในทะเลทำให้ ภูติเงือกทะเล ตัวนี้รอดตายจากการแสงแดด แต่ก่อนที่เงือกตัวนี้จะจากไปมันได้ขอตอบแทนหญิงสาวคนนี้โดยการให้เธอดื่มเลือดของมัน ซึ่งหลังจากที่หญิงสาวคนนี้ได้ดื่มเลือดเข้าไปก็ทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรง ไม่มีการป่วยเจ็บไข้อีกต่อไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายต่อหลายปี เธอได้มีลูกหลานเหลนมากมาย แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทั้งสามี ลูก หลาน เหลน และคนรอบข้างต่างก็ได้แก่ชราและตายไปตามกาลเวลา จนกระทั่งลูกหลานรุ่นใหม่ๆได้เกิดขึ้นมาและเรียกว่าทวด แต่เมื่อเธอได้เดินไปส่องใบหน้าของตัวเองในกระจกสะท้อนก็พบว่า ใบหน้าของเธอไม่มีแม้แต่รอยเหี่ยวย่น หรือรอยอะไรที่แสดงถึงความแก่เลย กลับกันใบหน้าของเธอยังคงมีความสาวอยู่เรื่อยมา แต่เธอก็รู้สึกเศร้าเสียใจที่ต้องคอยเห้นคนที่เธอรักตายไปทีละคน แต่เธอกลับยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ ด้วยความเสียใจที่ต้องคอยใช้ชีวิตดูคนที่ตัวเองรักตายไปทีละคน เธอจึงตัดสินใจออกบวชเป็นแม่ชีตามหลักของศาสนาพุทธไปตลอดชีวิต โดยเธออาจจะคิดเสมอว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะช่วยให้ ภูติเงือกทะเล มีชีวิตรอด น่าจะปล่อยให้ตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น หรือไม่ก็อาจจะช่วยแต่ไม่ยอมดื่มเลือดของ ภูติเงือกทะเล น่าจะดีเสียกว่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ อะไรที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องยอมให้เป็นไปตามผลกรรม ไม่แน่ทุกวันนี้แม่ชีคนนี้อาจจะมีชีวิตอยู่ในที่ไหนสักที่ก็ได้ หรือท่านอาจกำลังตามหา […]
เจาะลึกตำนาน ผีลิ้นแดงผู้ดูดกลืนมนุษย์แห่งความมืด อาคา-ชิตะ ( Aka-Shita )
อาคา-ชิตะ เป็นปีศาจที่มีรูปร่างคล้ายกับกลุ่มก้อนเมฆขนาดยักษ์ โดยจุดเด่นของมันคือจะมีลิ้นสีแดงที่ยาวเฟื้อย โผล่ออกมาจากกลุ่มก้อนเมฆนั้น และลิ้นที่ยาวนั้นจะเลื้อยเพื่อหาร่างของมนุษย์เพื่อจับเข้าไปในก้อนเมฆและกินเป็นอาหาร โดยเชื่อว่าเรื่องราวของ อาคา-ชิตะ จะมีต้นกำเนิดจากการโดนกดขี่และการโดนโกงเรื่องที่ดินหรือน้ำที่ใช้ในการทำการเกษตรของเกษตรกรหรือชาวไร่ชาวนา การปรากฏตัวและต้นกำเนิดของ อาคา-ชิตะ ผีลิ้นแดงแห่งความมืด อาคา-ชิตะ หรือผีลิ้นแดง มักจะปรากฏตัวในช่วงหัวค่ำหรือวันที่มีฝนตกหนัก โดยรูปร่างของผีลิ้นแดง จะมาพร้อมเมฆดำที่ปกคลุมใบหน้าที่มีขนดก มีกรงเล็บและเขี้ยวที่ยาวน่าเกลียดน่ากลัวของมัน และจุดเด่นของ อาคา-ชิตะ ก็คือลิ้นยาวๆสีแดงที่จะห้องและเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยมันจะใช้ลิ้นในการควานหาเหยื่อเพื่อจับกินเป็นอาหาร สถานที่ ที่ผีลิ้นแดงมักปรากฏตัวก็คือ ประตูระบายน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยมันถือกำเนิดจากความแค้นของเหล่าชาวนาที่โดนโกงน้ำจากระบบชลประทานที่ควรได้รับเท่าเที่ยวกันในการทำเกษตร แต่กลับถูกโกงจากผู้มีอำนาจไว้ใช้ส่วนตัว จึงทำให้มีชาวนาหลายคนต้องอดตายและวิญญาณได้กลายมาเป็น อาคา-ชิตะ เพื่อแก้แค้นพวกคนขี้โกงเหล่านั้น อีกทั้ง อาคา-ชิตะยังถูกเล่าไว้อีกว่า เป็นปีศาจแห่งการแก้แค้น เพราะมันจะออกมาแก้แค้นพวกคนขี้โกงที่เคยโกงน้ำจากระบบชลประทานจนทำให้ชาวนาผู้อื่นต้องเดือดร้อน โดยยังมีการเล่าขานต่อๆกันว่า หากผู้ใดที่มีนิสัยชอบโกงน้ำจากระบบชลประทานไปใช้เพียงผู้เดียว และหากวันใดที่ได้เข้าไปใกล้กับประตูระบายน้ำไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม คนขี้โกงคนนั้นก็จะถูก อาคา-ชิตะหรือผีลิ้นแดงจับตัวไปเป็นอาหาร เพื่อเป็นการแก้แค้นและลงโทษ คนบาปเหล่านี้ เชื่อกันว่า การปรากฏตัวของ อาคา-ชิตะ อาจนำพามาซึ่งโชคร้าย แต่เหล่าชาวนาในอดีตจะนับถือ อาคา-ชิตะ เพราะเป็นผู้ที่มาลงทัณฑ์พวกขี้โกงที่เห็นประโยชน์ส่วนตนดีกว่าส่วนรวม และ อาคา-ชิตะ ยังเป็นปีศาจที่คอยบางน้ำไว้สำหรับใช้เพาะปลูกข้าวกับเหล่าชาวนาอย่างเท่าเที่ยวอีกด้วย ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Yokai-fandom.com อมรณา สารานุกรมแห่งความตาย Amino […]
เจาะลึกตำนาน ฉบับสมบูรณ์ และบันทึกเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ ลาโยโรน่า EP.2
ลาโยโรน่า คือวิญญาณที่เกิดขึ้นจากหญิงสาวที่สร้างบาปมหันต์จากการฆ่าลูกแท้ๆของตัวเองถึงสองคน แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่จุดจบ เพราะยังมีการปรากฏตัวของเธอออกมาให้พบเห็นบ่อยๆในทวีปอเมริกา โดยเชื่อว่า วิญญาณของ ลาโยโรน่า เธอกำลังออกมาตามหาลูกชายทั้งสองของเธอ เพื่อที่เธอจะได้รับการปลดปล่อยและเดินทางไปยังสรวงสวรรค์ได้ ตำนานฉบับสมบูรณ์ของ ลาโยโรน่า และการปรากฏตัวของเธอ ลาโยโรน่า ได้สังหารลูกชายทั้งสองของตนโดยการโยนลงแม่น้ำ แต่ด้วยความสำนึกผิดจึงทำให้เธอนั้น รู้สึกเศร้าโสกเสียใจอย่างมาก ถึงขนาดที่เธอ ไม่กิน ไม่น้อย จนนานวันเข้า ทำให้ร่างกายที่สวยงามของเธอเริ่มซูบผอม จนมีสภาพไม่ต่างกับศพ และในทุกๆวันเธอจะสวมชุดสีขาวตัวโปรดออกตามหาลูกทั้งสองของเธอ จนกระทั่งเธอขาดใจตาย ณ ริมแม่น้ำ ที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมนี้ หลังจากที่เธอได้ตายลงไป วิญญาณของ ลาโยโรน่า ได้มาปรากฏอยู่ที่ทางเข้าของสวรรค์ แต่ถูกเหล่าทูตขัดขวางและห้ามไม่ให้เธอเข้าไป เพราะมีบาปมหันต์จากการฆ่าลูกๆของตัวเอง แต่ก็ยังพอมีวิธีที่จะทำให้เธอสามารถไถ่บาปและอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์ได้ นั่นก็คือ ลาโยโรน่า ต้องออกตามหาวิญญาณของลูกชายทั้งสองให้พบเท่านั้น ลาโยโรน่า ได้ปรากฏตัวขึ้นในริมแม่น้ำหรือชายฝั่งในทวีปอเมริกา และมักจะออกลักพาตัวเด็กๆ เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นลูกๆของเธอแต่สุดท้ายหากเธอรู้ว่า เด็กที่ลักพาตัวมาไม่ใช่ลูกของเธอแล้ว เธอก็จะสังหารเด็กคนนั้นและออกตามหาเหยื่อรายต่อไป การปรากฏตัวของลาโยโรน่า มีหลายคนที่อ้างว่าเห็นร่างของเธอออกตามหาลูกๆพร้อมเสียงคร่ำครวญ ณ ริมทะเลสาบหรือชายฝั่ง โดยใช้มือทั้งสองตวัดหาไปทั่วริมทะเล Patricio Lugan อ้างว่าพวกเขาพบเจอร่างของ ลาโยโรน่า บริเวณลำห้วย โมรา ประเทศเม็กซิโก […]
เจาะลึกตำนาน Feroz Shah Kotla วิหารแห่งการสถิตของเหล่าจินน์
วิหาร Feroz Shah Kotla เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเดลี ประเทศอินเดีย โดยถูกสร้างขึ้นในยุคโบราณและยังเคยถูกใช้เป็นป้อมปราการที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์อินเดีย จึงมีคุณค่าอย่างยิ่งในฐานะโบราณสถานที่สำคัญของโลกและถ้าพูดเรื่องตำนานความเชื่อ Feroz Shah Kotla ก็เป็นวิหารที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ที่สิงสถิตของสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานของอินเดีย ที่เรียกกันว่า จินน์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในความเชื่อของชาวอินเดีย โดยวิหารแห่งนี้มีความสำคัญมากและยังได้รับการดูแลอย่างดีมาตลอด ตั้งแต่ปี1300เลยทีเดียว ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับ จินน์ และโบราณสถาน Feroz Shah Kotla จินน์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในความเชื่อของชาวอินเดีย จินน์ไม่ใช้ภูตผี เทวดา หรือปีศาจ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีชีวิตอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และโลกขของความตาย อยู่ระหว่างโลกสีเทาที่ถูกแบ่งแยกโดยความดีและความชั่ว โดยพวกมันสามารถเข้ามาอยู่และสลับไปมาระหว่างโลกมนุษย์ได้ โดยมันสามารถจำแลงตัวเองให้อยู่ในรูปมนุษย์หรือสัตว์ก็ได้ หากใครที่นึกภาพตามไม่ออกก็คือ จินน์ที่อยู่ในตะเกียงวิเศษจากการ์ตูนเรื่อง อาละดิน นั่นแหละ และสถานที่ที่เชื่อว่า จินน์จะมาสถิตอยู่มากที่สุดก็คือ Feroz Shah Kotla วิหารที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเดลีนั่นเอง Feroz Shah Kotla จะมีคนเดินทางมาเคารพจินน์มากที่สุดในวันพฤหัสบดีเพราะเชื่อว่าจินน์จะมาปรากฏตัวให้เห็นและส่วนใหญ่ที่มาที่วิหารแห่งนี้ก็เพราะว่า สามารถมาขอความช่วยเหลือจากจินน์ได้นั่นเอง และหากอยากให้จินน์ตอบรับคำขอก็สามารถเตรียมของเซ่นไหว้ให้กับจินน์ได้ เช่น นม ขนม ธัญพืชและธูปเทียน โดยเชื่อว่าจะทำให้จินน์พึงพอใจและตอบรับคำขอได้ โดยจะเขียนเรื่องราวปัญหาของตัวเองผ่านทางจดหมายว่าอยากจะให้ช่วยเหลือในด้านใดบ้าง ซึ่งการกระทำแบบนี้ก็มีการสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจนเปรียบเสมือนประเพณีที่ชาวอินเดียปฏิบัติสืบทอดกันหลายชั่วอายุคน […]
เจาะลึกตำนาน 3ซามูไรหัวผีที่ล่องลอยอยู่บนนภา ไมคุบิ (Maikubi Yokai )
ไมคุบิ เป็นตำนานประเภทนิทานของชาวโมโมยามะ โดยมีการกล่าวถึงนิทานเรื่องนี้ตั้งแต่สมัย เมื่อค.ศ.1200 ซึ่งนับว่าเป็นนิทานที่มีอายุยาวพอสมควร จุดเริ่มต้นของนิทานเรื่อง วิญญาณสามหัวผู้จองเวร ไมคุบิ ( Maikubi Yokai ) ไมคุบิ เป็นนิทานของชาวโมโมยามะตั้งแต่ ค.ศ.1200 โดยนิทานได้เล่าถึงซามูไรสามคนที่นิสัยไม่ดีและมีจุดจบที่สุดจะคิดได้ โดยเนื้อหาของ ไมคุบิ มีอยู่ว่า ในประเทศญี่ปุ่นสมัยโบราณ ได้มีนักรบซามูไร3คน นามว่า โคชันตะ มาตะชิเกะ และอาคุโกโร ทั้ง3เป็นซามูไรที่มีนิสัยเป็นดั่งอันธพาลและพวกนิสัยเลว ที่ชอบสร้างความรำคาญและไม่สบายใจให้แก่ชาวบ้านชาวช่อง ไม่ว่าจะเป็น การหาเรื่องต่อยตีกับซามูไรหรือชาวบ้าน ขโมยอาหารหรือข้าวของเครื่องใช้ของชาวบ้าน หรือการใช้กำลังข่มเหงผู้อื่น แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ซามูไรทั้ง3คน มักจะมีปากเสียงทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้งจนแทบจะลงดาบฆ่ากันตายไปข้างให้ได้ อยู่มาวันหนึ่ง ซามูไรทั้ง3 ได้ทะเลาะกันขั้นรุนแรงจนมีปากเสียงกันค่อนข้างนาน ทั้ง3จึงตัดสินใจไปเคลียกันที่ริมทะเล แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้เสียที ด้วยความที่ทั้งสามเป็นซามูไรอีกทั้งยังมีนิสัยที่แย่และอันธพาล จึงมีการชักดาบกันเกิดขึ้น และในที่สุด ทั้ง โคชันตะ มาตะชิเกะ และอาคุโกโร ก็ใช้ดาบของตัวเองฟันคอกันและกัน จนหัวขาดทั้งสามคน แต่ถึงร่างกายของซามูไรทั้งสามจะตายไป แต่ดวงวิญญาณของทั้งสามยังคงโผล่ออกมาและยังค่อยกล่าวหาและตำหนิกันเรื่อยมา โดยตามนิทานเล่าว่า ซามูไรทั้งสามหลังจากที่ตายไป พวกเขาได้กลายเป็นวิญญาณที่มีเพียงแค่ส่วนหัว และยังลอยป้วนเปี้ยนอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน และสบถถ้อยคำด่าประชดประชันกันเองมากมายสารพัด และเชื่อว่าหากผ็ใดที่พบเห็น […]
เจาะลึกตำนาน พิพิธภัณฑ์สงครามผีดุ ปีนัง แห่งมาเลเซีย ( Penang War Museum )
พิพิธภัณฑ์สงครามผีดุ ปีนัง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีพื้นที่ถึง 50 ไร่ ตั้งอยู่ที่ Teluk kumbar ชายฝั่งตอนใต้ของเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย โดยในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะจัดแสดงสิ่งของสำคัญในยุคสงครามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปืนใหญ่ บังเกอร์ และอุโมงค์ที่ใช้ในการทหาร โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 เหตุใด พิพิธภัณฑ์สงคราม ปีนัง จึงเป็นสถานที่ผีดุ พิพิธภัณฑ์สงครามผีดุ ปีนัง เชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ผีสิงมากที่สุดในเอเชียเพราะอดีตป้อมปราการของอังกฤษที่ถูกสร้างในปี1941 ซึ่งตั้งอยู่ในที่แห่งนี้ก็เคยใช้ป้องกันกองกำลังจากญี่ปุ่นทางทะเลแต่สุดท้ายก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นตีแตกไปได้ในที่สุด หลังจากนั้นป้อมปราการแห่งนี้ก็ถูกญี่ปุ่นยึดครองและใช้เป็นสถานที่จองจำนักโทษในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 จนกระทั่งญี่ปุ่นสามารถยึดครองแหลมมลายูได้สำเร็จ ทำให้ป้อมปราการแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ทรมานเหล่านักโทษในสงครามนั่นเอง โดยทางกองทัพญี่ปุ่นได้ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่ามีผู้เสียชีวิตในการยึดครองแหลมมลายู มากกว่า5000คน โดยอาจจะมากกว่านี้เป็นเท่าตัวด้วยซ้ำ โดยส่วนใหญ่คนที่ตายในสงครามครั้งนั้นจะเป็นคนที่มีเชื้อสายจีนและทหารญี่ปุ่นนั่นเอง หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโดยการยกธงขาว ก็เริ่มทำให้มีการถอดถอนกองกำลังออกไปจากป้อมปราการแห่งนี้จนกลายเป็นสถานที่รกร้างในที่สุดจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในภายหลัง และจากนี้ก็จะมีผู้พบเห็นวิญญาณมากมายในสถานที่แห่งนี้จนขนานนามให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ว่า พิพิธภัณฑ์สงครามผีดุ ปีนัง โดยยกตัวอย่างเช่น มีผู้เห็นวิญญาณของทหารที่ทำหน้าที่เป็นเพชรฆาตในอุโมงค์ และบริเวณที่เป็นตะแกรงเผาศพ โดยคนที่พบเจอและได้ศึกษประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้มาอย่างถี่ถ้วนจะคาดการว่า เป็นวิญญาณของ ทาดาชิ ซูซุกิ ซึ่งเป็นทหารที่คลั่งไคล้และเสพติดการสังหารเชลยศึก โดยทุกครั้งที่นายทหารคนี้ใช้ดาบตัดหัวของนักโทษและเชลยสงคราม เขามักจะนำดาบจุ่มลงไปในขวดวิสกี้และหยิบขวดวิสกี้มาดื่ม และหุบเขาที่อยู่ใกล้กับ พิพิธภัณฑ์สงครามผีดุ ปีนัง ยังถูกเรียกว่าหุบเขาผีเพราะมีการใช้เป็นลานประหารในการตัดหัวของเชลยศึกจำนวนมากกว่าร้อยชีวิต ทำให้มีวิญญาณของทั้งทหารญี่ปุ่นหรือเชลยศึกที่ตายในสมัยสงครามนั้น […]